วันเสาร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2556

ศึกษากรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6653/2554


หลักการเรียนรู้ ป.วิ.อ. จากคำพิพากษาศาลฎีกา

บทความวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกานี้ แอดมินได้นำมาจาก เพจของ อ.ประยุทธ 

"ทบทวนหลักกฏหมายกับอาจารย์ประยุทธ"  https://www.facebook.com/prayutlaw





ศึกษากรณีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6653/2554

ข้อเท็จจริง

                1.
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2542 เวลากลางวัน จำเลยกับพวกที่ยังหลบหนีอีก 1 คน ร่วมกันใช้มีดปังตอ 1 เล่มเป็นอาวุธฟันนายนง ผู้เสียหายหลายครั้งถูกบริเวณศีรษะมีบาดแผลหลายแห่งจำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเนื่องจากมีผู้เข้ามาช่วยเหลือผู้เสียหายได้ทันประกอบกับบาดแผลของผู้เสียหายไม่ฉกรรจ์ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายแต่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 288, 80, 83
                                1.1
คดีนี้ อัยการเป็นโจทก์ฟ้อง หลักอัยการจะมีอำนาจฟ้องหรือไม่เป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 120 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาลโดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน เมื่ออัยการยื่นฟ้องมาเช่นนี้แสดงว่าได้ผ่านการสอบสวนมาโดยชอบแล้วและในทางปฏิบัติคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์มักจะมีข้อความในคำฟ้องว่า พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนโดยชอบแล้วเสมอ
                                1.2
คำฟ้องของพนักงานอัยการต้องเป็นไปตามหลัก ป.วิ.อ. มาตรา 158(5),(6),(7)
                                1.3 ในวันที่พนักงานอัยการนำคำฟ้องมายื่นต่อศาลต้องนำตัวผู้ต้องหามาพร้อมกับคำฟ้องเสมอเว้นแต่ ผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจศาลแล้ว เช่น ฝากขังไว้ตั้งแต่ชั้นสอบสวนหรือศาลให้ประกันตัวไปกรณีเช่นนี้ไม่ต้องนำตัวผู้ต้องหามาพร้อมกับคำฟ้อง
                                1.4
ในทางปฏิบัติเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องและนำตัวผู้ต้องหามาส่งศาลพร้อมกับคำฟ้องแล้วศาลจะสั่งคำฟ้องของอัยการว่า ประทับฟ้องหมายขังแต่ถ้าผู้ต้องหาได้รับการประกันตัวไปจากศาลในชั้นสอบสวนศาลจะสั่งคำฟ้องของอัยการว่า ประทับฟ้องหมายนัดผู้ประกันส่งตัวจำเลยการสั่งเช่นนี้ผู้พิพากษาคนเดียวสามารถลงชื่อในการประทับฟ้องได้เลยตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 24
                                1.5
ถ้าปรากฏในวันประทับฟ้อง อัยการได้ส่งตัวจำเลยต่อศาลแล้วและจำเลยอยู่ต่อหน้าศาล ศาลจะดำเนินการตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 คือสอบถามเรื่องทนายจำเลยก่อน ถ้าจำเลยแถลงว่ามีทนายความเรียบร้อยแล้วหรือไม่มีแต่จำเลยไม่ต้องการ ตามมาตรา 173 วรรคสอง ศาลก็จะอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 และถามจำเลยว่าจะให้การอย่างไร
                                1.6
คดีนี้ ศาลถามคำให้การจำเลยแล้วปรากฏว่าจำเลยให้การปฏิเสธ ในทางปฏิบัติศาลก็จะให้จำเลยลงชื่อในคำให้การปฏิเสธและดำเนินการต่อไป

                2.
ระหว่างการพิจารณาคดีนี้ นาย น. ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 ซึ่งต้องกระทำก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา
                                2.1
ผู้เสียหายผู้จะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับอัยการนั้น อาจเป็นผู้เสียหายแท้จริงหรือผู้เสียหายประเภทจัดการแทนก็ได้ การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามมาตรา 30 ต้องทำเป็นคำร้อง
                                2.2
ศาลจะสั่งคำร้องของผู้เสียหายทำนองว่า สำเนาคำร้องขอเป็นโจทก์ร่วมฉบับนี้ให้อัยการโจทก์และจำเลยและศาลจะสอบถามอัยการโจทก์ว่าผู้ร้องเป็นผู้เสียหายจริงหรือไม่ และสอบถามจำเลยว่าจะค้านหรือไม่จากนั้นศาลก็จะสั่งอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วม โดยศาลจะพิจารณาข้อหาตามที่โจทก์ฟ้องว่าข้อหาใดบ้างที่เป็นโจทก์ร่วมได้

                3.
หลังจากสืบพยานทุกฝ่ายเสร็จแล้วศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 83 ให้จำคุก 10 ปี

                4.
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จำเลยอุทธรณ์โดยต้องยื่นอุทธรณ์ภายใน 1 เดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาให้จำเลยฟัง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 และให้ผู้ศึกษาพิจารณา มาตรา 193 ทวิ ซี่งจำเลยสามารถอุทธรณ์ข้อเท็จจริงและนอกจากนี้โจทก์ก็ยังสามารถอุทธรณ์ได้หากคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่เป็นที่พอใจของโจทก์ แต่คดีนี้ ปรากฏว่าจำเลยแต่ผู้เดียวอุทธรณ์ว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิด
                                4.1
ในทางปฏิบัติศาลจะสั่งอุทธรณ์ของจำเลยในทำนองว่า รับอุทธรณ์ของจำเลย สำเนาให้โจทก์ โจทก์ร่วม แก้ภายในกำหนด 15 วันนับแต่วันรับสำเนาอุทธรณ์

                5.
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากศาลชั้นต้นเป็นว่า จำเลยมีความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 295, 83 ให้จำคุก 1 ปี
                                5.1
ผลของการมีคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เช่นนี้ จะเกิดหลักกฎหมายตาม ป.วิ.อ. ดังต่อไปนี้
                                                (1)
จะเห็นว่าในคำฟ้อง คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 (พยายามฆ่า)ไม่ได้ขอให้ลงโทษตามมาตรา 295 ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295 (ทำร้ายร่างกาย) ซึ่งศาลอุทธรณ์สามารถลงโทษได้ตาม ปวิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย เพราะความผิดฐานพยายามฆ่าคนรวมการกระทำอันเป็นการทำร้ายอยู่ด้ว
                                                (2)
ส่งผลต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก ซึ่งมาตรานี้หลักกฎหมายให้ดูเฉพาะคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าลงโทษอย่างไร เมื่อเปรียบเทียบกับคำพิพากษาศาลชั้น ต้นซึ่งลงโทษตามมาตรา 288 ประกอบมาตรา 80 จำคุก 10 ปี แต่ศาลอุทธรณ์ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 295 จำคุก 1 ปี ต้องถือว่าศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นมากเพราะแก้ทั้งบทลงโทษและกำหนดโทษ คู่ความจึงฎีกาข้อเท็จจริงได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้จะฎีกาข้อเท็จจริงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 แล้ว แต่จะฎีกาข้อเท็จจริงได้ ข้อเท็จจริงนั้นจะต้อว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบมาตรา 15 (ให้ระมัดระวังจุดนี้ให้ดี)

                6.
ในชั้นฎีกา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยดังนี้
                                6.1
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยประเด็นแรกว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าตามฟ้องหรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยใช้อาวุธมีดปังต่อฟันที่ศีรษะโจทก์ร่วมทำให้เกิดบาดแผลขอบเรียบ 2 แผลที่ศีรษะมีเลือดซึมแม้ลึกถึงกระโหลกศีรษะแต่กระโหลกไม่ยุบแผลไม่ฉกรรจ์เย็บประมาณ 11 เข็ม โจทก์ร่วมสามารถไปแจ้งความก่อนจะไปโรงพยาบาลแพทย์ผู้ตรวจเบิกความว่าบาดแผลไม่ร้ายแรงถึงกับทำให้ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตทันทีใช้เวลารับกษา 10-14 วัน ประกอบกับจำเลยถามหา นาย ป. และพูดว่า ฝากไอ้นี่ไปด้วย”) แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าให้ตายและที่พูดขณะฟันว่า เอาแม่งมันให้ตายเลยก็คงเป็นการพูดคะนองปากไปโดยมิได้มีเจตนาให้เกิดผลจริงจังอย่างที่พูด ลักษณะบาดแผลไม่รุนแรง ทั้ง415/2515415/2515ไม่ปรากฏมูลเหตุที่ต้องถึงกับเอาชีวิตกัน ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้น จึงได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

หมายเหตุ
ประเด็นของคดีนี้ในส่วนเกี่ยวกับประมวลกฎหมายอาญาให้พิจารณาศึกษาจากฎีกาต่อไปนี้
          ฎีกา 415/2515  จำเลยใช้มีดโต้ปลายมน มีคมข้างเดียวใช้ฟันได้อย่างเดียว ขนาดตัวมีดยาว 10 นิ้วฟุต ด้ามมีดยาว 4 นิ้วฟุตวิ่งเข้าไปทางด้านหลังฟันถูกศีรษะผู้เสียหาย 1 ทีเกิดบาดแผลยาว 2 เซนติเมตรลึกจดกระโหลกศีรษะ กระโหลกศีรษะไม่ร้าวหรือแตก แสดงว่าฟันไม่เต็มแรงและถูกหน้ามีดเพียงเล็กน้อย ผู้เสียหายรักษาบาดแผล 25 วันหาย แม้จะได้ความว่าฟันแล้วผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามไป แต่จำเลยไม่ได้ทำร้ายผู้เสียหายอีก ดังนี้ ยังไม่พอฟังว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย

          ฎีกา 2155/2530        การที่จำเลยชักมีดปลายแหลมยาวทั้งตัวด้ามประมาณ 1 ศอกออกมาแล้วพูดขึ้นว่า'มึงตายเสียเถอะ'จะถือเอาเป็นจริงจังตามคำพูดนั้นไม่ได้ ต้องดูพฤติการณ์อื่นที่เกิดขึ้นประกอบด้วยฉะนั้นแม้จำเลยจะใช้มีดแทง ส.และท. ก็ตามแต่จำเลยก็หาได้พยายามที่จะทำให้บุคคลทั้งสองได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่จำเลยมีโอกาสจะกระทำได้ เพราะเมื่อคนทั้งสองล้มแล้ว จำเลยก็มิได้แทงซ้ำเติมแต่อย่างใดและลักษณะบาดแผลที่คนทั้งสองได้รับก็ไม่มีลักษณะฉกรรจ์พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวประกอบกับที่ต่อมาจำเลยได้ไล่แทง ฉ.แต่ฉ.หลบหนีไปได้ เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงเป็นเพียงทำร้ายร่างกาย ส.และท. และพยายามทำร้ายร่างกายฉ. เท่านั้น.(ที่มา-ส่งเสริม)

          ฎีกา 218/2525   จำเลยใช้ดุ้นฟืนยาว 1 ศอก ตีศีรษะผู้ตาย 2 ทีจนกะโหลกศีรษะผู้ตายแตกยุบถึงมันสมอง เป็นการตีโดยแรงที่อวัยวะสำคัญเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายทันที ดังนี้จำเลยมีเจตนาฆ่า

          ฎีกา2058/2514  จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้วฟุต ยาวประมาณ1 หลา ซึ่งเป็นไม้แข็งใช้หาบน้ำแข็ง เลือกตีผู้ตายที่ศีรษะด้านหลัง 1 ทีผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา แม้จะตีเพียงทีเดียวก็เป็นการฆ่าคนโดยเจตนา

ที่มา :  ทบทวนหลักกฏหมายกับอาจารย์ประยุทธ

            https://www.facebook.com/prayutlaw


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น