บันทึกคำบรรยายเนติบัณฑิตยสภา
ภาคสอง สมัย ๖๕
วิชา
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ภาค ๓-๔ (ค่ำ)
บรรยายโดย อ.ธานี สิงหนาท
๒๖ มกราคม ๒๕๕๖ (ตอนที่ ๑)
การพิจารณา
(มาตรา ๑๗๒ – ๑๘๑)
เกริ่นนำ
ลักษณะพิเศษของการพิจารณาคดีอาญา
คือ
กฎหมายมุ่งให้ความคุ้มครองสิทธิของจำเลยมากว่าโจทก์ซึ่งต่างกับกรณีของคดีแพ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครองสิทธิของทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน
ระบบพิจารณา
๑.
การพิจารณาต้องกระทำในศาลโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย
๒.
ก่อนศาลเริ่มพิจารณาคดีต้องจัดหาทนายความให้จำเลยตามกฎหมาย
๓.
ศาลต้องอ่านฟ้องให้จำเลยเข้าใจและหากจำเลยรับสารภาพซึ่งเป็นโทษที่มีอัตราโทษสูงโจทก์ต้องนำสืบให้ศาลเห็นว่าโจทก์กระทำความผิดจริง
ลักษณะพิเศษของการสืบพยานในคดีอาญาคือ
โจทก์นำสืบก่อน และ จำเลยนำสืบหลัง (ไม่ว่าภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่ใคร)
และตามมาตรา ๒๒๘ ศาลอาจสืบพยานเพิ่มเติมได้ (เป็นระบบกล่าวหาผสมกับระบบไต่สวน)
หลังจากสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จก็จะเสร็จสิ้นการพิจารณาคดี
ซึ่งกฎหมายบังคับให้ศาลต้องตัดสินคดีภายในสามวันหากไม่เสร็จต้องจดแสดงเหตุเอาไว้
(ต้องการให้พิจารณาโดยเร็ว)
การจะลงโทษจำเลยศาลต้องฟังโดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดจริง
(ตามมาตรา ๒๒๗) จึงจะลงโทษจำเลยได้
หากมีข้อสงสัยประการหนึ่งประการใดศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์
เหตุแห่งการยกฟ้องโจทก์ (ตามมาตรา ๑๘๕)
มาตรา
๑๘๕ ถ้าศาลเห็นว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดก็ดี การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดก็ดี
คดีขาดอายุความแล้วก็ดี มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษก็ดี
ให้ศาลยกฟ้องโจทก์ปล่อยตัวจำเลยไป
แต่ศาลจะสั่งขังจำเลยไว้หรือปล่อยชั่วคราวระหว่างคดียังไม่ถึงที่สุดก็ได้
๑.
จำเลยมิได้กระทำความผิด
๒.
การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด
๓.
คดีขาดอายุความ
๔.
มีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษ
อำนาจในการยกฟ้องอีกมาตรา
คือ มาตรา ๑๙๒ เช่นการแตกต่างกันในสาระสำคัญศาลต้องยกฟ้องโจทก์
ตามวรรคสอง หรือเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ตามวรรคสี่
เริ่มการศึกษา
การพิจารณาต้องกระทำในศาล
อาจารย์ธานี ไม่อธิบายโดยให้เหตุผลว่าจะมีรายละเอียดในกฎหมายลักษณะพยานหลักฐาน
การพิจารณาต้องกระทำต่อหน้าจำเลย
มาตรา
๑๗๒ การพิจารณาคดีและสืบพยานในศาล
ให้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
….
วัตถุประสงค์
·
เพื่อให้จำเลยได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับพยาน
ซึ่งจำเลยมีสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านคำพยานของพยานปากนั้น ๆ
เพราะจำเลยย่อมทราบข้อเท็จจริงว่าเป็นอย่างไรและให้ทนายความซักค้านประเด็นนั้น
ๆ ได้
·
เหตุการณ์ที่ฟ้องนั้นเป็นเหตุการณ์ที่ได้ฟ้องมาแล้วหรือไม่
คือให้จำเลยมีสิทธิโต้แย้งว่าฟ้องดังกล่าวเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่
การสืบพยานรวมถึงการสืบพยานโจทก์และสืบพยานจำเลยด้วย
( ในคดีอาญาจำเลยเป็นประธานของคดี หากจำเลยไม่มาศาลจะพิจารณาคดีไม่ได้
ศาลต้องสั่งเลื่อนคดีออกไป
แต่หากมีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยจงใจหลบหนีศาลต้องออกหมายจับจำเลยจากนั้นก็เลื่อนไปนัดหน้า
และหากยังจับไม่ได้ก็ต้องจำหน่ายคดีชั่วคราว เพราะจะพิจารณาคดีลับหลังจำเลยไม่ได้
และอายุความก็เริ่มนับตั้งแต่วันที่จำเลยหลบหนีไป
สิ่งที่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยนั้นคือ
๑.
การสืบพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๖๕๑/๒๕๔๙ การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์
พยานโจทก์ร่วม หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์และพยานโจทก์ร่วม
จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้แทนบริษัทจำเลยที่ 1 และในฐานะส่วนตัวไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นจึงไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยทั้ง
สองได้อีกต่อไป การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อ
เท็จจริง โจทก์แถลงหมดพยาน และโจทก์ร่วมแถลงไม่ติดใจสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบด้วย
ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๒๐๘/๒๕๕๑ การพิจารณาและสืบพยานในศาลไม่ว่าชั้นสืบพยานโจทก์ หรือพยานจำเลยจะต้องทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลย
เว้นแต่เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร จะอนุญาตให้จำเลยไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยานนั้นได้
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง และมาตรา 172 ทวิ
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มาศาล และทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีแล้ว ศาลชั้นต้นไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดลับหลังจำเลยที่ 1 ได้อีกต่อไป การที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยให้ทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับข้อ
เท็จจริงว่า ส. เป็นผู้ตรวจพิสูจน์ของกลางผลการตรวจพิสูจน์เป็นเมทแอมเฟตามีนตามรายงานผลการ
ตรวจพิสูจน์ ที่โจทก์ส่งศาลและโจทก์แถลงไม่สืบพยานโจทก์ปากดังกล่าว ย่อมทำให้จำเลยที่
1 ซึ่งไม่มาศาลและให้การปฏิเสธไม่มีโอกาสโต้แย้งหรือต่อสู้คดีได้ว่ายาเสพติด ให้โทษของกลางมิใช่เมทแอมเฟตามีนตามแบบรายงานผลการตรวจพิสูจน์อันจะเป็นการรับฟังข้อเท็จจริงที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่
1 จึงเป็นการไม่ชอบด้วย
ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคหนึ่ง
ข้อเท็จจริง
๑. พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่าจำเลยจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ
๒. จำเลยในคดีมีสองคนซึ่งทั้งสองคนตั้งทนายความคนเดียวกัน
๓. ศาลถามจำเลยแต่จำเลยทั้งสองให้การปฎิเสธ ศาลจึงนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก
ปรากฏว่าอัยการโจทก์มาศาล จำเลยที่สองและทนายจำเลยทั้งสองมาศาล แต่ทนายจำเลยที่ ๑
ไม่มาศาลโดยทนายจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ป่วย
อัยการโจทก์ไม่คัดค้าน
แต่เนื่องจากมีพยานผู้เชี่ยวชาญได้มาศาลและได้ทำรายว่ายาเสพติดนั้นเป็นเมทแอมเฟตามีน
อัยการจึงให้ทนายความโจทก์แถลงรับว่าพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิสูจน์และปรากฏว่าเป็นเมทแอมเฟตามีน
อัยการก็จะไม่ติดใจสืบพยาน
๔. ทนายความจำเลยทั้งสองแถลงรับ อัยการจึงยื่นส่งพยานต่อศาล
ทนายจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงเป็นการพิจารณาดังนั้นจะพิจารณาลับหลังจำเลยที่
๒ ไม่ได้ จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องให้ศาลสืบพยานนั้นใหม่
ดังนั้น
จำเลย หมายความเฉพาะตัวจำเลยจริง ๆ เท่านั้น
สามารถนำบันทึกการเบิกความพยานในคดีอื่นมาพิจารณาได้หรือไม่?
มาตรา ๒๒๖/๕
ในชั้นพิจารณาหากมีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควรศาลอาจรับฟังบันทึกคำเบิกความในชั้นไต่สวนมูลฟ้องหรือบันทึกคำเบิกความของพยานที่เบิกความไว้ในคดีอื่นประกอบพยานหลักฐานอื่นในคดีได้
จะต้องเป็นกรณีที่มีเหตุจำเป็นหรือเหตุอันสมควรเท่านั้น
เช่น พยานที่ได้เบิกความไว้แล้วนั้นตายไปแล้ว การบันทึกการสืบพยานเด็กในชั้นสอบสวน
เป็นต้น
ข้อยกเว้นการเบิกความต่อหน้าจำเลย
มาตรา ๑๗๒ ทวิ
มาตรา
๑๗๒ ทวิ ภายหลังที่ศาลได้ดำเนินการตามมาตรา ๑๗๒ วรรค ๒ แล้ว
เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร เพื่อให้การดำเนินการพิจารณาเป็นไปโดยไม่ชักช้า
ศาลมีอำนาจพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยได้ในกรณีดังต่อไปนี้
(๑)
ในคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสิบปี จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม หรือในคดีมีโทษปรับสถานเดียว
เมื่อจำเลยมีทนายและจำเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการพิจารณาและการสืบพยาน
(๒) ในคดีที่มีจำเลยหลายคน ถ้าศาลพอใจตามคำแถลงของโจทก์ว่าการพิจารณาและการสืบพยานตามที่โจทก์ขอให้กระทำไม่เกี่ยวแก่จำเลยคนใด
ศาลจะพิจารณาและสืบพยานลับหลังจำเลยคนนั้นก็ได้
(๓)
ในคดีที่มีจำเลยหลายคน ถ้าศาลเห็นสมควรจะพิจารณาและสืบพยานจำเลยคนหนึ่ง ๆ
ลับหลังจำเลยคนอื่นก็ได้
ในคดีที่ศาลพิจารณาและสืบพยานตาม
(๒) หรือ (๓) ลับหลังจำเลยคนใด ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ห้ามมิให้ศาลรับฟังการพิจารณาและการสืบพยานที่กระทำลับหลังนั้นเป็นผลเสียหายแก่จำเลยคนนั้น
ข้อสังเกต
-
ตาม (๑) เป็นคดีเล็กน้อย ที่ต้องมีองค์ประกอบสององค์ประกอบด้วยกันดังนี้
·
เป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน
๑๐ ปี หรือปรับสถานเดียว และ
·
จำเลยต้องมีทนายความ และ
·
ได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยาน
-
ตาม (๒)
จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์
คดีที่มีจำเลยหลายคน หากไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ไม่มาศาลก็พิจารณาลับหลังจำเลยคนนั้นได้
โดยไม่ต้องคำนึงถึงอัตราโทษ เพราะไม่มีความเสียหายใด ๆ ต่อจำเลยนั้น ๆ
และตามวรรคท้ายก็จะรับฟังให้เป็นผลเสียหายแก่จำเลยไม่ได้เช่นเดียวกัน
-
ตาม (๓)
จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย
คดีที่มีจำเลยหลายคน
มีจำเลยบางคนไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานจำเลย ศาลอาจให้สืบพยานจำเลยคนใด
ๆ ลับหลังจำเลยนั้น ๆ ได้ และตามวรรคท้ายก็ห้ามมิให้ศาลรับฟังเป็นผลเสียหายแก่จำเลยนั้น
ๆ ด้วย
มาตรา ๑๘๐ สืบพยานลับหลังจำเลย
กรณีจำเลยขัดขวางการพิจารณา
มาตรา
๑๘๐ ให้นำบทบัญญัติเรื่องรักษาความเรียบร้อยในศาลในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีอาญาโดยอนุโลม
แต่ห้ามมิให้จำเลยออกจากห้องพิจารณา เว้นแต่จำเลยขัดขวางการพิจารณา
มาตรา ๒๓๐ การสืบพยานประเด็น
มาตรา ๒๓๐ เมื่อ คู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอหรือเมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร ศาลอาจเดินเผชิญสืบพยานหลักฐาน
หรือเมื่อมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาสืบที่ศาลนั้น และการสืบพยานหลักฐานโดยวิธีอื่นไม่สามารถกระทำได้
ศาลมีอำนาจส่งประเด็นให้ศาลอื่นสืบพยานหลักฐานแทน ให้ศาลที่รับประเด็นมีอำนาจและหน้าที่ดังศาลเดิม
รวมทั้งมีอำนาจส่งประเด็นต่อไปยังศาลอื่นได้
ภาย ใต้บังคับมาตรา ๑๗๒ และมาตรา ๑๗๒ ทวิ ให้ส่งสำนวนหรือสำเนาฟ้อง สำเนาคำให้การและเอกสารหรือของกลางเท่าที่จำเป็นให้แก่ศาลที่รับประเด็น
เพื่อสืบพยานหลักฐาน หากจำเลยต้องขังอยู่ในระหว่างพิจารณาให้ผู้คุมขังส่งตัวจำเลยไปยังศาลที่รับ
ประเด็น แต่ถ้าจำเลยในกรณีตามมาตรา ๑๗๒ ทวิ ไม่ติดใจไปฟังการพิจารณาจะยื่นคำถามพยานหรือคำแถลงขอให้ตรวจพยานหลักฐานก็
ได้ ให้ศาลสืบพยานหลักฐานไปตามนั้น
เมื่อสืบพยานหลักฐานตามที่ได้รับมอบหมายเสร็จสิ้นแล้ว ให้ส่งถ้อยคำสำนวนพร้อมทั้งเอกสารหรือของกลางคืนศาลเดิม
โดยหลักต้องอยู่ภายใต้มาตรา
๑๗๒ ทวิ คือต้องกระทำต่อหน้าจำเลย เช่น หากต้องสืบพยานที่ศาลแม่ฮ่องสอน
ในการสืบพยานศาลต้องส่งจำเลยไปที่ศาลแม่ฮ่องสอน เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา
๑๗๒ ทวิ เช่น คดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน ๑๐ ปี และจำเลยมีทนายความ
จำเลยมีสิทธิที่จะไปฟังการพิจาณาหรือไม่ก็ได้ หากจำเลยไปศาลก็ต้องส่งจำเลยไป
เป็นต้น
มาตรา ๒๓๗ ทวิ การสืบพยานบุคคลล่วงหน้าก่อนฟ้องคดี
มาตรา ๒๓๗ ทวิ ก่อน ฟ้องคดีต่อศาล
เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานบุคคลจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือ
ทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า พนักงานอัยการโดยตนเองหรือโดยได้รับคำร้องขอจากผู้เสียหายหรือจากพนักงานสอบ
สวน จะยื่นคำร้องโดยระบุการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าผู้ต้องหาได้กระทำผิดต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้สืบพยานนั้นไว้ทันทีก็ได้
ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด และผู้นั้นถูกควบคุมอยู่ในอำนาจพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ
ให้พนักงานอัยการนำตัวผู้นั้นมาศาล หากถูกควบคุมอยู่ในอำนาจของศาล ให้ศาลเบิกตัวผู้นั้นมาพิจารณาต่อไป
เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น
ให้ศาลสืบพยานนั้นทันที ในการนี้ ผู้ต้องหาจะซักค้านหรือตั้งทนายความซักค้านพยานนั้นด้วยก็ได้
ใน กรณีตามวรรคสอง
ถ้าเป็นกรณีที่ผู้ต้องหานั้นถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา ซึ่งหากมีการฟ้องคดีจะเป็นคดีซึ่งศาลจะต้องตั้งทนายความให้
หรือจำเลยมีสิทธิขอให้ศาลตั้งทนายความให้ตามมาตรา ๑๗๓ ก่อนเริ่มสืบพยานดังกล่าว
ให้ศาลถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ในกรณีที่ศาลต้องตั้งทนายความให้ ถ้าศาลเห็นว่าตั้งทนายความให้ทันก็ให้ตั้งทนายความให้และดำเนินการสืบพยาน
นั้นทันที แต่ถ้าศาลเห็นว่าไม่สามารถตั้งทนายความได้ทันหรือผู้ต้องหาไม่อาจตั้งทนาย
ความได้ทัน ก็ให้ศาลซักถามพยานนั้นให้แทน
คำเบิกความของพยานดังกล่าวให้ศาลอ่านให้พยานฟัง
หากมีตัวผู้ต้องหาอยู่ในศาลด้วยแล้ว
ก็ให้ศาลอ่านคำเบิกความดังกล่าวต่อหน้าผู้ต้องหา
ถ้าต่อมาผู้ต้องหานั้นถูกฟ้องเป็นจำเลยในการกระทำความผิดอาญานั้น
ก็ให้รับฟังคำพยานดังกล่าวในการพิจารณาคดีนั้นได้
ใน กรณีที่ผู้ต้องหาเห็นว่า หากตนถูกฟ้องเป็นจำเลยแล้ว บุคคลซึ่งจำเป็นจะต้องนำมาสืบเป็นพยานของตนจะเดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร
ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือเป็นบุคคลมีถิ่นที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าโดยทางตรงหรือ
ทางอ้อม หรือมีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า ผู้ต้องหานั้นจะยื่นคำร้องต่อศาลโดยแสดงเหตุผลความจำเป็น
เพื่อให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานบุคคลนั้นไว้ทันทีก็ได้
เมื่อ ศาลเห็นสมควร ให้ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานนั้นและแจ้งให้พนักงานสอบสวนและพนักงาน
อัยการที่เกี่ยวข้องทราบ ในการสืบพยานดังกล่าว พนักงานอัยการมีสิทธิที่จะซักค้านพยานนั้นได้
และให้นำความในวรรคสาม วรรคสี่ และวรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๑๗๒ ตรี
มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่การสืบพยานที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปี
สาเหตุที่ขอได้
(๑)
พยานบุคคลจะต้องเดินทางไปนอกราชอาณาจักร
(๒)
พยานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
(๓)
พยานเป็นบุคคลที่อยู่ห่างไกลจากศาลที่พิจารณาคดี
(๔)
มีเหตุอันสมควรเชื่อว่าจะมีการยุ่งเหยิงกับพยานนั้นไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม
(๕)
มีเหตุจำเป็นอื่นอันเป็นการยากแก่การนำพยานนั้นมาสืบในภายหน้า
ข้อสังเกต (ปัญหา)
๑.
หากยังจับกุมตัวผู้ต้องหาไม่ได้หรือยังไม่ทราบตัวผู้ต้องหา
พนักงานอัยการจะขอศาลสืบพยานไว้ก่อนฟ้องคดีได้หรือไม่ ?
·
เห็นว่าในวรรคแรกตอนท้าย...ได้ความว่า
แม้ไม่มีตัวผู้ต้องหาก็ขอได้ เพราะหากมีตัวต้องนำมา แต่หากไม่มีตัวก็ไม่ต้องนำมา และในวรรคสี่
...หากคดีมีผู้ต้องหาอยู่ก็ให้อ่านให้ผู้ต้องหาฟังด้วย แสดงว่า
หากไม่มีผู้ต้องหาก็ไม่ต้องอ่านต่อหน้าผู้ต้องหา
·
ดังนั้น
การสืบพยานบุคคลล่วงหน้าสามารถสืบพยานลับหลังคู่ความ (จำเลย) ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๒๙๘๐/๒๕๔๗ ก่อนฟ้องคดีต่อศาล เมื่อมีเหตุดังที่ระบุไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคแรก พนักงานอัยการย่อมมีสิทธิยื่นคำร้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งสืบพยานนั้นไว้ทันที
ก็ได้ โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นกรณีที่ผู้ที่ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวอยู่หรือไม่
ประกอบกับ ป.วิ.อ. มาตรา 237 ทวิ วรรคสี่ ก็ให้ศาลสามารถมีคำสั่งอนุญาตให้สืบพยานและอ่านคำเบิกความของพยานให้พยานฟัง
นั้นฟังได้แม้ผู้ต้องหาจะไม่ถูกจับกุมหรือถูกควบคุมตัวอยู่
พิจารณา
·
มีการค้นพบตัวคนต่างด้าวในบ้านของผู้ต้องหา
·
ยังจับผู้ต้องหาไม่ได้
แต่ต้องผลักดันให้ชาวต่างด้าวกลับประเทศ
·
ศาลฎีกา วางหลักว่าสามารถยื่นคำร้องให้สืบพยานทันทีได้
แม้ไม่มีตัวผู้ต้องหาอยู่
๒.
กรณีการสืบพยานล่วงหน้า
สามารถนำมาเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้หรือไม่ ?
ตามมาตรา ๒๓๗ ทวิ วรรคห้า “ถ้าต่อมาผู้ต้องหานั้นถูกฟ้องเป็นจำเลยในการกระทำผิดอาญานั้น
ก็ให้รับฟังคำพยานดังกล่าวในการพิจารณาคดีนั้นได้”
๓.
หากมีจำเลยหลายคนและถูกจับได้ไม่พร้อมกัน
และได้มีการสืบพยานไว้ล่วงหน้าแล้ว
ปรากฏว่าต่อมาภายหลังสามารถจับกุมจำเลยเพิ่มได้อีก ศาลจะรับฟังคำพยานที่สืบไว้ก่อนล่วงหน้าได้หรือไม่ :
ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๑๐๒๗๒/๒๕๕๔ (หาไม่เจอ)
·
การสืบพยานล่วงหน้านำมาใช้กับพยานอื่น ๆ นอกจากพยานบุคคลได้หรือไม่ ?
ตอบว่า
ได้ ดูมาตรา ๒๓๗ ตรี
มาตรา ๒๓๗ ตรี ให้นำความในมาตรา
๒๓๗ ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลมแก่กรณี การสืบพยานผู้เชี่ยวชาญ และพยานหลักฐานอื่น และแก่กรณีที่ได้มีการฟ้องคดีไว้แล้วแต่มีเหตุจำเป็นที่ต้องสืบพยานหลักฐาน
ไว้ก่อนถึงกำหนดเวลาสืบพยานตามปกติตามมาตรา ๑๗๓/๒ วรรคสองด้วย
ใน กรณีที่พยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงอัน
สำคัญในคดีได้ หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่า หากมีการเนิ่นช้ากว่าจะนำพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อันสำคัญมาสืบในภายหน้า
พยานหลักฐานนั้นจะสูญเสียไปหรือเป็นการยากแก่การตรวจพิสูจน์ ผู้ต้องหาหรือพนักงานอัยการโดยตนเองหรือเมื่อได้รับคำร้องจากพนักงานสอบสวน
หรือผู้เสียหาย จะยื่นคำร้องขอ ให้ศาลสั่งให้ทำการตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ตามความในมาตรา
๒๔๔/๑ ไว้ก่อนฟ้องก็ได้ ทั้งนี้ ให้นำบทบัญญัติในมาตรา ๒๓๗ ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
การจัดหาทนายความให้จำเลย
มาตรา ๑๗๓ ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต
หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่
ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก
ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามคำให้การจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่
ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้
หลักเกณฑ์
๑.
คดีที่มีความร้ายแรง (ประหารชีวิต)
หรือคดีที่เป็นเด็กอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ศาลต้องถามจำเลย
และต้องจัดหาทนายความให้จำเลยหากจำเลยไม่มี
หากไม่จัดให้ถือว่าเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ หากศาลต้นพบเองก็เพิกถอนเองตาม
มาตรา ๒๗ ป.วิ.พ. ประกอบ มาตรา ๑๕ ป.วิ.อ. แต่หากเป็นศาลสูงพบต้องใช้ มาตรา ๒๐๘(๒)
ให้พิพากษาสั่งให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
๒.
คดีธรรมดา (อัตราโทษจำคุก)
มีสองคำถามดังนี้
·
มีทนายความหรือไม่
?
·
ต้องการทนายความหรือไม่
?
(รายละเอียดติดตามตอนต่อไปนะครับ..)
[1]
อ.ธานี
อธิบายว่า ตามมาตรฐานสากล
สิ่งที่ต้องกระทำต่อหน้าจำเลยนั้นเฉพาะแต่การสืบพยานเท่านั้น ไม่ได้รวมถึงการพิจารณาด้วย
ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายไทย ในมาตรา ๑๗๒ วรรคแรก
ให้หมายความรวมทั้งการพิจารณาและการสืบพยาน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น